ข่าวสาร
บีซีพีจีเติบโตต่อเนื่องจากผลการดำเนินงานและการบริหารทรัพย์สิน กำไรพุ่งในไตรมาส 3 เกือบ 1,200 ล้านบาท
บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 มีกำไร 1,139 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 900 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สาเหตุหลักมาจากการรับรู้กำไรสุทธิจากการจำหน่ายสินทรัพย์เข้ากองทุน นอกจากนี้การควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ และผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นไปตามแผน ส่งผลให้มีผลกำไรเพิ่มจากปีที่แล้ว 344 ล้านบาท
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในไตรมาส 3 ของปีนี้ บริษัทฯ ได้จำหน่ายสินทรัพย์ประเภทโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Nikaho และ โครงการ Nagi ขนาดกำลังการผลิตรวมประมาณ 27.6 เมกะวัตต์ ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่นตั้งขึ้นใหม่ภายใต้ชื่อ Bangchak Solar yield-co Godo Kaisha ในราคา 11,500 ล้านเยน (เทียบเท่าจำนวนเงิน 3,372 ล้านบาท) หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องต่างๆ แล้ว เป็นเงินที่ได้รับสุทธิจากกองทุนทั้งสิ้น 10,388 ล้านเยน (เทียบเท่าจำนวนเงิน 3,046 ล้านบาท) ทั้งนี้ บริษัทฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทุนดังกล่าว ทั้งในการร่วมลงทุนหรือร่วมบริหารกองทุนแต่อย่างใด” (อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อเยนเท่ากับ 0.29323)
หลังจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนฯ บริษัท BCPG Engineering ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำสัญญาราย 5 ปีให้บริการดำเนินการและซ่อมบำรุง (Operation & Maintenance) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 2 แห่งกับกองทุนฯ
การขายสินทรัพย์ครั้งนี้ เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนแก่ผู้ถือหุ้นให้สูงที่สุด ทำให้บริษัทฯ มีเงินสดในมือรองรับการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่มีโอกาสในการเติบโตและการสร้างผลตอบแทนในระดับสูง ทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อไป
สำหรับผลการดำเนินงานของโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้มี EBITDA ประมาณ 634 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปีที่แล้วประมาณร้อยละ 4 ในขณะที่โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์มีผลการดำเนินงานดีขึ้นมากจากไตรมาสที่แล้ว ส่วนโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียซึ่งรับรู้ผลกำไรเต็มไตรมาส ก็มีการปฏิบัติงานที่มีเสถียรภาพ ทำให้บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนทั้ง 2 แห่งประมาณ 222 ล้านบาทหรือสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วประมาณร้อยละ 83 เป็นผลให้บริษัทฯ มี EBITDA รวมส่วนแบ่งการลงทุนดังกล่าวประมาณ 856 ล้านบาทหรือสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วประมาณร้อยละ 17 ทั้งนี้ กำไรสุทธิไม่รวมการรับรู้กำไรจากการจำหน่ายทรัพย์สินและรายการพิเศษคิดเป็นเงินประมาณ 412 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วประมาณร้อยละ 14
“นอกเหนือไปจากผลการดำเนินธุรกิจ เมื่อเร็วๆ นี้ บีซีพีจีได้รับการประเมินในเรื่องการกำกับดูแลกิจการอยู่ในเกณฑ์ "ดีเลิศ" (Excellent) เป็นปีแรก จากผลการประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย หรือ Corporate Governance Report (CGR) ประจำปี 2561 ตามโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนเพื่อสำรวจและติดตามพัฒนาการด้านการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย นอกจากนี้โครงการนำร่องซื้อขายไฟฟ้าในระบบ P2P ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน T77 ก็ได้รับคัดเลือกจาก Solar Plaza ซึ่งเป็นสื่อของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับโลกที่มีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับโลกด้วยการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ให้เป็นหนึ่งในสิบลำดับแรกของโครงการด้านพลังงานและบล็อกเชน (Top 10 energy and blockchain projects) ในทวีปเอเชีย ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง” นายบัณฑิตกล่าวส่งท้าย