ข่าวสาร
ข่าวสารบริษัท
04 พฤษภาคม 2560
บีซีพีจีเดินหน้าทำกำไร โตต่อเนื่องทั้งเมกะวัตต์และรายได้ ไตรมาสท่ี 1 ปี 2560 กำไรสุทธิ 454 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่าร้อยละ 16
บริษัท บีซีพีจี จํากัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ประกาศผลกำไรดําเนินงานไตรมาสที่ 1 ประจําปี 2560 มีกําไรสุทธิ 454 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 16.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์ตามแผนการขยายการลงทุน พัฒนา และบริหารโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในแถบเอเชียอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในไตรมาสที่1/2560 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายไฟฟ้า 798 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับกำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทฯ เท่ากับ 454 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
รายได้และผลกำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการเปิดดำเนินการของโครงการโซลาร์สหกรณ์ฯ 3 โครงการ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 12 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 2 โครงการ ได้แก่ โครงการนิคาโฮ และโครงการนากิ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 19.3 เมกะวัตต์ ทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาของกลุ่มบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเป็น 160 เมกะวัตต์ในไตรมาสที่ 1/2560 เมื่อเทียบกับ 128.7 เมกะวัตต์ในไตรมาสที่ 1/2559 หรือคิดเป็นกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.3
อย่างไรก็ตาม หากนับรายการปรับปรุงฯ ตามมาตรฐานบัญชี (Restatement) กำไรสุทธิไตรมาสที่ 1/2559 จะกลายเป็น 612.52 ล้านบาท เป็นผลจากการปรับปรุงกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ตามผลการประเมินของบริษัทผู้ประเมินราคาอิสระ
“การประเมินราคาจากการเข้าซื้อกิจการ SunEdison เข้าเงื่อนไขตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินเรื่องการรวมธุรกิจ ซึ่งกำหนดให้บริษัทฯ ว่าจ้างผู้ประเมินราคาอิสระทำการประเมินมูลค่ากิจการเพื่อสะท้อนราคาตามความเป็นจริง และจากการประเมินซึ่งเสร็จสิ้นในไตรมาสที่ 4/2559 และรับรู้กำไรจากการต่อรองราคาไปแล้วนั้น ผู้ตรวจสอบบัญชีได้ปรับปรุงงบการเงินที่ได้จัดทำไว้เดิมเพื่อสะท้อนถึงข้อเท็จจริง ณ วันที่ซื้อกิจการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 จึงต้องมีการปรับปรุงรายการ ทำให้กำไรสุทธิของไตรมาสที่ 1/2559 เพิ่มขึ้นจากเดิม 390.23 ล้านบาท เป็น 612.52 ล้านบาท” นายบัณฑิตกล่าว
สำหรับการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2560 กลุ่มบริษัทฯ คาดว่าจะมีปัจจัยบวกซึ่งช่วยจะทำให้ผลการดำเนินงานดีขึ้นต่อไปอีก ได้แก่ (1) การปรับค่า Ft เพิ่มขึ้น (2) การรับรู้รายได้จากการผลิตไฟฟ้าเต็มทั้งไตรมาสของกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย 130 เมกะวัตต์ และในประเทศญี่ปุ่น 30 เมกะวัตต์ และสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการผลิตไฟฟ้า (3) การลงนามในสัญญา Settlement Agreement กับบริษัทในกลุ่ม SunEdison ที่จะชำระค่าซื้อกิจการงวดสุดท้ายทำให้เกิดกำไรจากการเข้าซื้อกิจการเพิ่มขึ้น และ (4) การลงทุนในโครงการใหม่ๆ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพประเทศอินโดนีเซียที่ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากสถาบันการเงินชั้นนำ และคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติเข้าทำสัญญาซื้อหุ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและจะนำเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติเพื่อเข้าทำรายการในวันที่ 13 มิถุนายน 2560
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์ตามแผนการขยายการลงทุน พัฒนา และบริหารโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในแถบเอเชียอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในไตรมาสที่1/2560 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายไฟฟ้า 798 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับกำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทฯ เท่ากับ 454 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
รายได้และผลกำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการเปิดดำเนินการของโครงการโซลาร์สหกรณ์ฯ 3 โครงการ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 12 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 2 โครงการ ได้แก่ โครงการนิคาโฮ และโครงการนากิ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 19.3 เมกะวัตต์ ทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาของกลุ่มบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเป็น 160 เมกะวัตต์ในไตรมาสที่ 1/2560 เมื่อเทียบกับ 128.7 เมกะวัตต์ในไตรมาสที่ 1/2559 หรือคิดเป็นกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.3
อย่างไรก็ตาม หากนับรายการปรับปรุงฯ ตามมาตรฐานบัญชี (Restatement) กำไรสุทธิไตรมาสที่ 1/2559 จะกลายเป็น 612.52 ล้านบาท เป็นผลจากการปรับปรุงกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ตามผลการประเมินของบริษัทผู้ประเมินราคาอิสระ
“การประเมินราคาจากการเข้าซื้อกิจการ SunEdison เข้าเงื่อนไขตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินเรื่องการรวมธุรกิจ ซึ่งกำหนดให้บริษัทฯ ว่าจ้างผู้ประเมินราคาอิสระทำการประเมินมูลค่ากิจการเพื่อสะท้อนราคาตามความเป็นจริง และจากการประเมินซึ่งเสร็จสิ้นในไตรมาสที่ 4/2559 และรับรู้กำไรจากการต่อรองราคาไปแล้วนั้น ผู้ตรวจสอบบัญชีได้ปรับปรุงงบการเงินที่ได้จัดทำไว้เดิมเพื่อสะท้อนถึงข้อเท็จจริง ณ วันที่ซื้อกิจการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 จึงต้องมีการปรับปรุงรายการ ทำให้กำไรสุทธิของไตรมาสที่ 1/2559 เพิ่มขึ้นจากเดิม 390.23 ล้านบาท เป็น 612.52 ล้านบาท” นายบัณฑิตกล่าว
สำหรับการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2560 กลุ่มบริษัทฯ คาดว่าจะมีปัจจัยบวกซึ่งช่วยจะทำให้ผลการดำเนินงานดีขึ้นต่อไปอีก ได้แก่ (1) การปรับค่า Ft เพิ่มขึ้น (2) การรับรู้รายได้จากการผลิตไฟฟ้าเต็มทั้งไตรมาสของกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย 130 เมกะวัตต์ และในประเทศญี่ปุ่น 30 เมกะวัตต์ และสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการผลิตไฟฟ้า (3) การลงนามในสัญญา Settlement Agreement กับบริษัทในกลุ่ม SunEdison ที่จะชำระค่าซื้อกิจการงวดสุดท้ายทำให้เกิดกำไรจากการเข้าซื้อกิจการเพิ่มขึ้น และ (4) การลงทุนในโครงการใหม่ๆ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพประเทศอินโดนีเซียที่ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากสถาบันการเงินชั้นนำ และคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติเข้าทำสัญญาซื้อหุ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและจะนำเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติเพื่อเข้าทำรายการในวันที่ 13 มิถุนายน 2560